
บริษัท เบเยอร์ จำกัด (Beger) ผู้นำด้านนวัตกรรมสีทาอาคารและเคมีภัณฑ์ก่อสร้างของไทย ร่วมกับ บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด (CP Retailink) ผู้นำโซลูชันระบบค้าปลีกและผู้พัฒนาวัสดุกราฟีน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ณ ห้องกิเลน ชั้น L เดอะ ธารา แจ้งวัฒนะ เพื่อพัฒนา “Graphene for Paint Technology” นวัตกรรมใหม่สำหรับสีรุ่นใหม่ที่ต่อยอดการใช้วัสดุกราฟีนในอุตสาหกรรมสีและเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง
ความร่วมมือครั้งนี้มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง แข็งแรง ทนการกัดกร่อน รอยขีดข่วน ความชื้น และความร้อน ยืดอายุการใช้งาน รองรับงานอาคาร โครงสร้าง และงานเหล็ก พร้อมสนับสนุนการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยสู่ความยั่งยืน



ผู้บริหารที่ร่วมลงนาม
- ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เบเยอร์
- คุณประพจน์ ชัยวรวิทย์กุล – ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ (Beger)
- คุณวิเชียร จึงวิโรจน์ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด
วิสัยทัศน์ร่วมเพื่ออนาคต
เบเยอร์มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกผ่านงานวิจัยและนวัตกรรมคุณภาพสูง ขณะที่ CP Retailink มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัสดุกราฟีน เมื่อผนึกกำลังกันจึงเกิดเป็น “Graphene for Paint” นวัตกรรมเพื่อสีที่ไม่เพียงตอบโจทย์ผู้บริโภค แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เบเยอร์ กล่าวว่า
“การลงนามครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเบเยอร์ในการต่อยอดนวัตกรรม โดยเราไม่เพียงมุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังพร้อมผสานศักยภาพกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัสดุนวัตกรรม เพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมสีและเคมีภัณฑ์ก่อสร้างของไทย”

คุณวิเชียร จึงวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด กล่าวว่า
“ในนามของบริษัท CPR ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท เบเยอร์ ในครั้งนี้ ความร่วมมือของเรามีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและยกระดับนวัตกรรมสีและผลิตภัณฑ์สีผสมกราฟีน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์สีในประเทศไทย แต่ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อความยั่งยืนทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อมในอนาคต
บริษัท CPR มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนเทคโนโลยีกราฟีน และพร้อมที่จะทำงานร่วมกับเบเยอร์ในทุกมิติ ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการตลาด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความร่วมมือครั้งนี้เป็นนวัตกรรมที่สามารถสร้างคุณค่าแก่ผู้บริโภค สังคม และอุตสาหกรรมสีโดยรวม
เรามั่นใจว่าการจับมือร่วมกันในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จร่วมกัน และนำไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของทั้งสององค์กร

ความสำคัญของความร่วมมือ
ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเป็น การยกระดับมาตรฐานการผลิตและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมสีและเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการนำวัสดุนวัตกรรมเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตในอนาคต
FAQ สำหรับงานแถลงข่าว MOU Beger x CP Retailink “Graphene”
1. วัตถุประสงค์หลักของความร่วมมือครั้งนี้คืออะไร?
เพื่อร่วมกันพัฒนา “Graphene Technology” วัสดุแห่งอนาคตที่ยกระดับมาตรฐานใหม่ของวงการสีและเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง ให้ทั้ง ความแข็งแรง ทนทาน และการปกป้องครอบคลุม พร้อมขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
2. ทำไมต้องเป็น Beger และ CP Retailink?
- Beger เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสีและเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง
- CP Retailink มีศักยภาพที่แข็งแกร่งด้านการผลิตโดยใช้ทักษะและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง
การผนึกกำลังครั้งนี้จึงทำให้ Graphene ถูกต่อยอดจากห้องแล็บสู่การใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. Graphene แตกต่างจากวัสดุทั่วไปอย่างไร?
- แข็งแรงกว่าเหล็กแต่มีน้ำหนักเบา
- ปกป้องได้ครบทุกมิติ: ทนทานต่อการกัดกร่อน กันสนิม กันรอย กันชื้น กันร้อน
- ยืดอายุการใช้งานวัสดุ ลดการซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่าย
4. Graphene จะพร้อมสู่ตลาดเมื่อไร?
เราได้ทดสอบจริงจนมั่นใจแล้ว และคาดว่าจะทะยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ 2568
5. ความร่วมมือนี้ช่วยด้าน Net Zero อย่างไร?
Graphene ทำให้อาคารมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และลดการปล่อยคาร์บอนทั้งในขั้นตอนการผลิตและการใช้งาน ตรงกับเป้าหมาย Net Zero ของทั้งสองบริษัท
(ข้อมูลเพิ่มเติม: CP Group และเครือ CP มีเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2030)
6. มีแผนขยายไปต่างประเทศหรือไม่?
ใช่ครับ Graphene เป็นเทคโนโลยีระดับโลก ความร่วมมือนี้คือก้าวแรกสู่การขยายสู่ตลาดอาเซียนและระดับนานาชาติ
7. ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์อย่างไร?
- ได้ผลิตภัณฑ์ที่ แข็งแรง ทนทาน คุ้มค่า
- ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
- สนับสนุนการใช้วัสดุที่รักษาสิ่งแวดล้อม


